BCG Economy โมเดลเศรษฐกิจเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องทรัพยากร

BCG Economy โมเดลเศรษฐกิจเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องทรัพยากร

BCG Economy คืออะไร? โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องทรัพยากรของประเทศไทย

BCG Economy

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิดเศรษฐกิจ BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศไทย ทั้งจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ ไปจนถึงประชาชนทั่วไปที่หันมาใส่ใจการใช้ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โมเดลนี้ถูกออกแบบให้เป็นกรอบการพัฒนาที่ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจและความยั่งยืน โดยตั้งอยู่บนหลักการสำคัญสามประการ คือการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า การหมุนเวียนวัสดุเพื่อลดของเสีย และการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ

ส่วนแรกคือ Bio Economy หรือเศรษฐกิจชีวภาพ ซึ่งเน้นการใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ทำลายระบบนิเวศ ตัวอย่างเช่นการนำวัสดุธรรมชาติกลับมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ การเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร หรือการเลือกใช้วัสดุที่สามารถย่อยสลายได้แทนพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ทิศทางนี้ทำให้หลายธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อผลิตสินค้าที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคและไม่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคเองก็เริ่มให้ความสำคัญกับสินค้าที่มาจากธรรมชาติและผ่านกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนมากขึ้น

ส่วนที่สองคือ Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของโมเดล BCG เพราะเป็นแนวคิดที่ช่วยให้ทรัพยากรคงอยู่ในระบบได้นานที่สุด แทนที่จะใช้แล้วทิ้งแบบดั้งเดิม กระบวนการหมุนเวียนจะมองทุกอย่างเป็นทรัพยากรที่สามารถนำกลับมาสร้างคุณค่าใหม่ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง การนำวัสดุกลับมาใช้ซ้ำ การรีไซเคิลอย่างถูกต้อง หรือการอัพไซเคิลให้วัสดุธรรมดากลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น การเปลี่ยนวิธีคิดนี้เริ่มต้นได้ง่ายจากบ้านของเราเอง เพียงแค่เข้าใจการแยกประเภทขยะอย่างถูกต้องและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ลดการสร้างของเสีย ก็สามารถช่วยให้ระบบหมุนเวียนเกิดขึ้นจริงได้ในทุกวัน

ส่วนสุดท้ายคือ Green Economy หรือเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การประหยัดพลังงาน การลดการใช้ทรัพยากรน้ำ หรือการปรับปรุงระบบผลิตให้เป็นมิตรต่อธรรมชาติมากขึ้น แนวคิดนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับทุกคนในสังคม เพราะการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโครงการขนาดใหญ่ แต่เกิดได้จากพฤติกรรมเล็ก ๆ ที่เราทำในแต่ละวัน เช่นการลดใช้พลาสติก การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากสิ่งแวดล้อม หรือการนำขยะไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี

เมื่อพิจารณาทั้งสามองค์ประกอบร่วมกัน จะเห็นได้ว่าโมเดล BCG ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย กลับเป็นแนวคิดที่เริ่มต้นได้จากพื้นที่ใกล้ตัวที่สุดอย่างบ้านของเรา การจัดการขยะที่ดี การเข้าใจวิธีแยกขยะอย่างถูกต้อง และการนำขยะไปสู่กระบวนการรีไซเคิลที่เหมาะสม ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทรงพลังในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน และนี่คือสิ่งที่ Bygge มุ่งผลักดันมาโดยตลอด เราเชื่อว่าขยะที่ถูกจัดการอย่างถูกต้องสามารถกลายเป็นทรัพยากรใหม่ที่มีคุณค่า ไม่ว่าจะเป็นวัสดุรีไซเคิลที่นำกลับไปใช้ในอุตสาหกรรม หรือการเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นพลังงานหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม

ประเทศไทยเองกำลังให้ความสำคัญกับแนวคิด BCG มากขึ้น เนื่องจากประเทศเรามีทรัพยากรชีวภาพที่อุดมสมบูรณ์ ภาคการเกษตรมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่าสูง และปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นทุกปีทำให้การจัดการอย่างเป็นระบบกลายเป็นสิ่งจำเป็น การที่ทุกภาคส่วนเริ่มตระหนักและร่วมกันผลักดันจึงเป็นกุญแจสู่อนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น การเติบโตของเมืองใหญ่และไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ทำให้ระบบจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องสำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สุดท้ายแล้ว การขับเคลื่อน BCG ไม่ใช่บทบาทของภาครัฐหรือองค์กรใหญ่เท่านั้น แต่คือการลงมือทำของทุกคน เริ่มจากกิจวัตรง่าย ๆ ในบ้าน เช่นการแยกขยะ การลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น และการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากเราทุกคนร่วมกันทำให้ความยั่งยืนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โมเดล BCG จะไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ระดับประเทศ แต่จะกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่ฝังแน่นในสังคมไทย

📌 อ่านบล็อคของ Bygge เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของเรา:

Line OA: https://lin.ee/2HLoHLu

Facebook: https://www.facebook.com/bygge.solutions.thailand/

Instagram: https://www.instagram.com/bygge.solutions/

TikTok: https://www.tiktok.com/@bygge.solutions

Website: https://www.byggesolutions.com/blog

ประเทศต้นแบบ เรื่องเมืองสะอาด: วิธีจัดการขยะของ 6 ประเทศที่ควรเรียนรู้

ประเทศต้นแบบ เรื่องเมืองสะอาด: วิธีจัดการขยะของ 6 ประเทศที่ควรเรียนรู้

หลายประเทศทั่วโลกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หากสังคมมีระบบจัดการขยะที่เข้มแข็ง ประชาชนให้ความร่วมมือ และรัฐสนับสนุนอย่างจริงจัง เมืองที่สะอาดและยั่งยืนสามารถเกิดขึ้นได้จริง ไม่ใช่เพียงแนวคิดบนกระดาษเท่านั้น การจัดการขยะจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นพื้นฐานสำคัญของคุณภาพชีวิตและความยั่งยืนของเมือง รุ่นต่อรุ่น ในบทความนี้ Bygge ขอพาทุกคนเดินทางไปดูตัวอย่างของ 6 ประเทศต้นแบบ ที่ได้รับการยอมรับว่ามีระบบจัดการขยะดีที่สุดในโลก เพื่อทำความเข้าใจว่าพวกเขาทำอย่างไร และอะไรคือสิ่งที่เราสามารถนำมาปรับใช้ได้ในบริบทของไทย


🇯🇵 ญี่ปุ่น

ประเทศต้นแบบ

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชมเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความใส่ใจในรายละเอียด ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนชัดเจนผ่านระบบจัดการขยะของประเทศ พวกเขามีกฎหมายแยกประเภทขยะอย่างเคร่งครัดและชัดเจน การทิ้งขยะผิดประเภทอาจนำไปสู่การถูกจับหรือถูกปรับ ทำให้ประชาชนให้ความสำคัญกับการแยกขยะตั้งแต่ในครัวเรือน นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมีโรงงานขยะขนาดใหญ่ที่นำขยะมาเผาผ่านระบบกรองมลพิษที่มีมาตรฐานสูง ขยะที่ถูกเผาไม่ได้สูญเปล่า เพราะสามารถนำพลังงานความร้อนนั้นมาผลิตเป็นไฟฟ้าให้กับพื้นที่รอบข้าง ขณะที่เถ้าที่เหลือจากการเผายังสามารถนำไปใช้ผลิตอิฐบล็อกหรือใช้ในการถมทะเลเพื่อพัฒนาพื้นที่สวนสาธารณะ ทำให้ขยะถูกกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด

🇸🇪 สวีเดน

ประเทศต้นแบบ

สวีเดนเป็นประเทศที่ทำให้โลกเห็นว่าขยะสามารถมี “มูลค่า” ได้อย่างแท้จริง ประเทศนี้มีระบบรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพสูงจนทำให้ขยะจากครัวเรือนเกือบทั้งหมดถูกนำกลับไปใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการรีไซเคิลหรือการนำไปทำปุ๋ยหมัก มากกว่าครึ่งหนึ่งของขยะทั้งหมดถูกนำไปผลิตเป็นพลังงานความร้อนสำหรับทำความร้อนให้บ้านเรือนในช่วงฤดูหนาว ส่วนขยะฝังกลบนั้นมีเพียง 0.08% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำมากจนสวีเดนต้องนำเข้าขยะจากต่างประเทศเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตพลังงาน ความสำเร็จนี้เกิดจากความร่วมมือของประชาชนที่ช่วยกันแยกขยะอย่างจริงจังด้วยระบบถุงสีต่าง ๆ ที่ชัดเจนและง่ายต่อการปฏิบัติตาม

🇳🇱 เนเธอร์แลนด์

ประเทศต้นแบบ

ประเทศเนเธอร์แลนด์ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการจัดการขยะที่เข้มแข็ง โดยมีอัตราการรีไซเคิลสูงกว่า 80% ระบบการจัดการขยะของเนเธอร์แลนด์เริ่มต้นตั้งแต่หน้าบ้านของประชาชน ผ่านระบบ “Door to Door” ที่กำหนดวันเก็บขยะแต่ละประเภทอย่างชัดเจน เช่น วันเก็บขยะทั่วไป ขยะกระดาษ หรือขยะพลาสติก โดยพลาสติกบางประเภทประชาชนยังสามารถนำไปแลกเงินที่ซูเปอร์มาร์เก็ตได้อีกด้วย ขยะเศษอาหารจากครัวเรือนจำนวนมากถูกนำไปผลิตพลังงานชีวภาพ ขณะที่ขยะพลาสติกบางส่วนถูกนำไปใช้สร้างเลนจักรยานในเมืองต่าง ๆ ซึ่งเป็นการนำวัสดุเหลือใช้กลับมาพัฒนาพื้นที่เมืองอย่างสร้างสรรค์

🇩🇪 เยอรมนี

ประเทศต้นแบบ

เยอรมนีเป็นประเทศที่ถูกยกย่องว่าเป็นผู้นำด้านรีไซเคิลของยุโรป โดยมีตัวเลขชัดเจนว่า 64% ของขยะทั้งหมดในประเทศถูกนำไปรีไซเคิลหรือทำปุ๋ยหมัก อีก 35% ถูกใช้ทำพลังงาน เช่น การผลิตไฟฟ้าหรือความร้อน และมีเพียง 1% เท่านั้นที่เป็นขยะฝังกลบ ประชาชนชาวเยอรมันมีวัฒนธรรมการใช้ถุงผ้าและการคืนขวดพลาสติกเพื่อรับเงินค่ามัดจำ ซึ่งนอกจากช่วยลดขยะแล้ว ยังเป็นแรงจูงใจที่ดีในการนำขวดกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้รัฐบาลเยอรมนียังมีกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบต่อขยะที่ตนสร้างขึ้น ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมและการเกษตรต้องมีระบบจัดการขยะที่มีมาตรฐานเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางกฎหมาย

🇦🇹 ออสเตรีย

ประเทศต้นแบบออสเตรีย

ออสเตรียเองก็เป็นประเทศที่มีระบบจัดการขยะที่น่าประทับใจไม่แพ้กัน โดยประชาชนถูกปลูกฝังเรื่องการแยกขยะตั้งแต่ในวัยเด็ก ทำให้การแยกขยะกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน เมืองของออสเตรียจึงสะอาด น่าอยู่ และเป็นระเบียบ นอกจากนี้ยังมีโรงไฟฟ้าขยะ Spittelau ในกรุงเวียนนา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการผสานเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมเข้ากับงานสถาปัตยกรรม เนื่องจากโรงงานได้รับการออกแบบให้สวยงามและกลมกลืนกับเมือง แม้จะทำหน้าที่กำจัดขยะ แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กของเมืองที่ผู้คนยอมรับและภาคภูมิใจ โรงงานนี้สามารถแปลงขยะให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มอบพลังงานให้ประชาชนจำนวนมากในเมืองหลวง

🇰🇷 เกาหลีใต้

ประเทศเกาหลีใต้

เกาหลีใต้เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของประเทศที่ใช้เทคโนโลยีมาจัดการปัญหาขยะอาหารอย่างจริงจัง โดยมีระบบถังขยะอัจฉริยะที่ให้ประชาชนชั่งน้ำหนักขยะอาหารก่อนทิ้ง และจ่ายค่าธรรมเนียมตามน้ำหนักที่ทิ้ง ทำให้ทุกคนระมัดระวังเรื่องปริมาณขยะอาหารมากขึ้น ข้อมูลจากสภาเศรษฐกิจโลกเผยว่าระบบนี้ช่วยลดขยะอาหารได้มากถึง 47,000 ตัน ภายในเวลาเพียงหกปี ช่วยลดภาระของเทศบาลและระบบจัดการขยะปลายน้ำอย่างเห็นผล


เมื่อมองภาพรวมของ “ประเทศต้นแบบ” เหล่านี้ จะเห็นว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ซึ่งต่างตระหนักว่าขยะคือทรัพยากรที่สามารถนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ หากมีระบบจัดการที่ดีและชัดเจน เมืองก็จะสะอาดและยั่งยืนในระยะยาว

จากตัวอย่างทั้งหมดนี้ Bygge เชื่อมั่นว่าความเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ “การจัดการขยะที่บ้าน” ซึ่งเป็นต้นทางสำคัญที่สุด เพราะหากทุกครัวเรือนสามารถลดปริมาณขยะ หรือนำขยะบางส่วนกลับมาใช้ประโยชน์ได้ เมืองโดยรวมก็จะสะอาดขึ้น และภาระของระบบจัดการขยะปลายน้ำก็จะลดลงอย่างมหาศาล นั่นคือเหตุผลที่ Bygge พัฒนานวัตกรรมเครื่องกำจัดเศษอาหาร Bygge Super Composter เพื่อช่วยให้ครัวเรือนและองค์กรจัดการขยะอาหารได้ง่ายขึ้น ลดกลิ่น ลดปริมาณ และนำกลับไปสู่การเป็นดินดีได้อีกครั้ง เมืองสะอาดเริ่มต้นจากบ้าน และทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ตั้งแต่วันนี้

📌 อ่านบล็อคของ Bygge เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของเรา:

Line OA: https://lin.ee/2HLoHLu

Facebook: https://www.facebook.com/bygge.solutions.thailand/

Instagram: https://www.instagram.com/bygge.solutions/

TikTok: https://www.tiktok.com/@bygge.solutions

Website: https://www.byggesolutions.com/blog

วันอาหารโลก: ร่วมสร้างโลกที่ปลอดขยะอาหารไปกับ Bygge

วันอาหารโลก: ร่วมสร้างโลกที่ปลอดขยะอาหารไปกับ Bygge

แม้ว่า วันอาหารโลก (World Food Day) จะผ่านไปแล้ว แต่แนวคิดเรื่องการบริโภคอย่างรู้คุณค่าและการ ลดขยะอาหาร (Food Waste) ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ในทุก ๆ วัน เพราะ “อาหาร” ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต แต่ยังเป็นทรัพยากรล้ำค่าที่เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารของโลก

วันอาหารโลก

ความสำคัญของวันอาหารโลก (World Food Day)

วันที่ 16 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันที่ทั่วโลกเฉลิมฉลอง วันอาหารโลก เพื่อระลึกถึงการก่อตั้งของ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ซึ่งดำเนินงานมากว่า 75 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาความอดอยาก ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร และผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาขยะอาหาร (Food Waste) ยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการสูญเสียทรัพยากร ทั้งในกระบวนการผลิต การขนส่ง และการบริโภคในชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโดยรวม ในแต่ละปี มีอาหารหลายล้านตันทั่วโลกที่ถูกทิ้งไปโดยไม่ได้ถูกบริโภค ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในสภาพที่สามารถรับประทานได้ การลดขยะอาหารจึงไม่ใช่แค่การประหยัดเงินหรือพื้นที่จัดเก็บเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตและขนส่งอาหาร รวมถึงเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อให้ทุกคนบนโลกใบนี้สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น

วันอาหารโลกนี้ เริ่มลดขยะอาหารโลกได้ง่าย ๆ จากที่บ้าน

Bygge เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ยั่งยืนเนื่องในโอกาสวันอาหารโลก เริ่มต้นได้จาก “ครัวของเราเอง” ผ่านวิธีง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การวางแผนการซื้อวัตถุดิบให้พอดีกับการบริโภค เพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งอาหารโดยไม่จำเป็น การแปรรูปอาหารเหลือให้เกิดประโยชน์ใหม่ และการแยกเศษอาหารออกจากขยะทั่วไปอย่างถูกวิธี ซึ่งทั้งหมดนี้คือก้าวเล็ก ๆ ที่ช่วยลดขยะอาหารและดูแลโลกได้อย่างยั่งยืน

และอีกหนึ่งทางออกที่ช่วยให้การจัดการเศษอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือการใช้ เครื่องย่อยเศษอาหาร Bygge Super Composter นวัตกรรมที่ช่วยเปลี่ยนเศษอาหารให้กลายเป็น ดินอินทรีย์คุณภาพสูง ภยในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง นอกจากจะช่วยลดขยะอาหารแล้ว การใช้เครื่องย่อยเศษอาหารยังช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเศษอาหารในครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ และเปลี่ยนของเหลือให้กลายเป็นดินอินทรีย์ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร เพิ่มประโยชน์ให้กับดินในสวนหรือกระถางต้นไม้ของคุณได้อย่างยั่งยืน

เพราะ “อาหารบนโลกทุกคำมีคุณค่า อย่าปล่อยให้สูญเปล่า”

แม้วันอาหารโลกจะเป็นเพียงอีกหนึ่งวันสำคัญในปฏิทิน แต่ “จิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบต่ออาหาร” ควรเกิดขึ้นทุกวันในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนมื้ออาหารให้พอดี การเก็บรักษาอาหารอย่างถูกวิธี หรือการนำเศษอาหารไปใช้ประโยชน์ต่อ เช่น ทำปุ๋ย หรือใช้ในกระบวนการรีไซเคิลอินทรีย์ ทั้งหมดนี้คือก้าวเล็ก ๆ ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับโลกใบนี้ได้ มาร่วมกันดูแลโลก เริ่มจากบ้านของเราเองไปกับ Bygge

📌 อ่านบล็อคของ Bygge เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของเรา:

Line OA: https://lin.ee/2HLoHLu

Facebook: https://www.facebook.com/bygge.solutions.thailand/

Instagram: https://www.instagram.com/bygge.solutions/

TikTok: https://www.tiktok.com/@bygge.solutions

Website: https://www.byggesolutions.com/blog

ค่า OM ตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของดิน

ในโลกของการเกษตรและการดูแลสิ่งแวดล้อม “ดิน” คือหัวใจสำคัญของระบบนิเวศที่ดี เพราะดินที่ดีไม่เพียงช่วยให้พืชเติบโตแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเก็บกักน้ำ แร่ธาตุ และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ช่วยรักษาสมดุลของธรรมชาติอีกด้วย หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่บอกถึงคุณภาพของดินก็คือ ค่า OM หรือ Organic Matter (อินทรียวัตถุในดิน) ซึ่งหลายคนอาจยังไม่คุ้นหู แต่มีบทบาทสำคัญกว่าที่คิด

ค่า OM คืออะไร?

 

ค่า OM คือค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณ “สารอินทรีย์” ที่มีอยู่ในดิน ซึ่งเกิดจากการย่อยสลายของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เช่น ใบไม้ที่ร่วงหล่น เศษพืช ซากสัตว์ รวมถึงปุ๋ยหมัก โดยสารอินทรีย์เหล่านี้อุดมไปด้วยจุลินทรีย์ขนาดเล็กที่ช่วยย่อยสลายวัตถุให้กลายเป็นสารอาหารที่พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ง่าย

ดินที่มีค่า OM สูงจึงมักจะเป็นดินที่ร่วนซุย อุ้มน้ำได้ดี และเต็มไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งตรงกันข้ามกับดินที่ขาดอินทรียวัตถุซึ่งมักจะแข็ง ขาดอากาศ และไม่สามารถเก็บความชื้นได้

ความสำคัญของค่า OM ต่อระบบนิเวศและการเพาะปลูก

  1. ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน
    อินทรียวัตถุทำให้ดินร่วนซุย ไม่แน่นทึบ ช่วยให้รากพืชสามารถแผ่กระจายและดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น
  2. ช่วยเก็บน้ำและธาตุอาหารในดิน
    ดินที่มีค่า OM สูงสามารถอุ้มน้ำได้มากขึ้น ลดการชะล้างของแร่ธาตุ และช่วยให้พืชได้รับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง
  3. ลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีทางการเกษตร
    ดินที่มีคุณภาพดีจากอินทรียวัตถุเพียงพอ ช่วยลดความจำเป็นในการพึ่งพาสารเคมี ซึ่งเป็นการเกษตรที่ยั่งยืนมากกว่าในระยะยาว
  4. เพิ่มคุณภาพและผลผลิตของพืช
    การรักษาค่า OM ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยให้พืชเติบโตได้ดี แต่ยังทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัยต่อผู้บริโภค

ค่า OM ของดิน

ในยุคที่ปัญหาขยะอาหาร (Food Waste) กำลังเป็นหนึ่งในประเด็นใหญ่ของโลก การหาวิธีจัดการเศษอาหารอย่างยั่งยืนจึงกลายเป็นเรื่องที่สำคัญ Bygge มุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหานี้ด้วยนวัตกรรม Bygge SuperComposter เครื่องย่อยเศษอาหารอัจฉริยะที่สามารถเปลี่ยนเศษอาหารในครัวเรือนให้กลายเป็น “ดินอินทรีย์คุณภาพสูง”

ผลลัพธ์ที่ได้จาก Bygge มีค่า OM สูงถึง 25–30 ซึ่งอยู่ในระดับมาตรฐานตามเกณฑ์ของ กรมวิชาการเกษตร และเหมาะสำหรับใช้บำรุงพืชทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นผักสวนครัว ต้นไม้กระถาง หรือสวนเกษตรขนาดใหญ่การนำดินที่ผลิตจาก Bygge มาใช้ ไม่เพียงช่วยเพิ่มค่าอินทรีย์วัตถุให้กับดินเท่านั้น แต่ยังเป็นการลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และคืนคุณค่าให้กับธรรมชาติอย่างแท้จริง 

📌 ติดตามเรื่องราวดี ๆ และสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของ Bygge

Line OA: https://lin.ee/2HLoHLu

Facebook: https://www.facebook.com/bygge.solutions.thailand/

Instagram: https://www.instagram.com/bygge.solutions/

TikTok: https://www.tiktok.com/@bygge.solutions

จุลินทรีย์: ผู้ช่วยตัวจริงที่อยู่รอบตัวเรา

จุลินทรีย์: ผู้ช่วยตัวจริงที่อยู่รอบตัวเรา

เวลาเราพูดถึงคำว่า “จุลินทรีย์” หลายคนอาจนึกถึงสิ่งมีชีวิตเล็กจิ๋วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า บางคนอาจรู้สึกว่าเป็นสิ่งสกปรกหรือเป็นเชื้อโรค แต่ความจริงแล้ว จุลินทรีย์ไม่ได้มีแค่ด้านร้าย เพราะพวกมันคือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีบทบาทสำคัญในทุกระบบของโลก ตั้งแต่ในดิน ในน้ำ ในอากาศ ไปจนถึงในร่างกายของเราเอง

จุลินทรีย์คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?

จุลินทรีย์ (Microorganisms) คือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมากจนต้องใช้กล้องจุลทรรศน์จึงจะมองเห็นได้ ประกอบไปด้วยหลากหลายกลุ่ม เช่น แบคทีเรีย รา โปรโตซัว และสาหร่ายขนาดเล็ก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีอยู่ทุกที่บนโลกและเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนระบบนิเวศให้สมดุล

ลองนึกภาพว่าหากวันหนึ่งบนโลกนี้ไม่มีจุลินทรีย์เลย — ซากพืช ซากสัตว์ และของเสียต่าง ๆ จะไม่ถูกย่อยสลาย โลกจะเต็มไปด้วยกองขยะอินทรีย์ที่ไม่สามารถหายไปได้ และสารอาหารในธรรมชาติก็จะไม่ถูกหมุนเวียนกลับคืนสู่ดินอีกต่อไป วงจรชีวิตในธรรมชาติจึงจะหยุดชะงัก เพราะจุลินทรีย์คือ “ผู้จัดการระบบนิเวศ” ตัวจริงที่ทำให้โลกยังคงดำเนินต่อไปได้

จุลินทรีย์กับอาหาร: เบื้องหลังรสชาติและสุขภาพ

แม้เราจะมองไม่เห็น แต่จุลินทรีย์อยู่เบื้องหลังอาหารหลายอย่างที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่โยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ มิโสะ ไปจนถึงซอสถั่วเหลือง ล้วนต้องอาศัยจุลินทรีย์ในกระบวนการหมัก (Fermentation) เพื่อสร้างรสชาติ กลิ่น และเนื้อสัมผัสเฉพาะตัว

นอกจากเพิ่มความอร่อยแล้ว จุลินทรีย์เหล่านี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยปรับสมดุลลำไส้ เสริมภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้น ครั้งหน้าที่คุณหยิบโยเกิร์ตสักถ้วยขึ้นมา ลองนึกถึง “เพื่อนตัวจิ๋ว” เหล่านี้ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังสิ

จุลินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม: ผู้ช่วยฟื้นคืนพลังให้โลก

จุลินทรีย์ไม่ได้มีดีแค่ในอาหาร แต่ยังมีบทบาทยิ่งใหญ่ต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในกระบวนการย่อยสลายเศษอินทรีย์ เมื่อเศษอาหาร ใบไม้ หรือซากพืชถูกทิ้งลงในดิน จุลินทรีย์จะเริ่มทำงานทันที เพื่อเปลี่ยนของเหล่านี้ให้กลายเป็นสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช

หากไม่มีจุลินทรีย์ โลกของเราจะกลายเป็นที่สะสมของขยะอินทรีย์จำนวนมหาศาล แต่เพราะมีจุลินทรีย์เป็น “ทีมรีไซเคิลธรรมชาติ” จึงทำให้สิ่งที่เรามองว่าเป็นของเสีย กลับกลายเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าได้อีกครั้ง


ในปัจจุบัน จุลินทรีย์ถูกนำมาประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การผลิตยา การทำเกษตรอินทรีย์ ไปจนถึงการจัดการขยะอย่างยั่งยืน หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือ Bygge SuperBact — ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์คุณภาพสูงที่คัดสรรมาเฉพาะสำหรับการย่อยเศษอาหาร

SuperBact ช่วยเร่งกระบวนการย่อยสลายเศษอาหารในครัวเรือนให้เร็วขึ้นหลายเท่า เปลี่ยนขยะที่เคยส่งกลิ่นหรือสร้างมลพิษให้กลายเป็นดินอินทรีย์คุณภาพดีภายในเวลาไม่นาน ดินที่ได้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่พืชต้องการ ช่วยให้ต้นไม้แข็งแรง โตไว และมีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นตามธรรมชาติ

จุลินทรีย์ SuperBact

แม้จุลินทรีย์จะเล็กจนมองไม่เห็น แต่บทบาทของมันกลับยิ่งใหญ่และครอบคลุมทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่การทำให้อาหารอร่อย การดูแลสุขภาพของเรา ไปจนถึงการรักษาสมดุลของระบบนิเวศโลก การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับจุลินทรีย์อย่างเข้าใจและนำพลังของมันมาใช้ในทางที่ถูกต้อง ไม่เพียงช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น แต่ยังเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

📌 อ่านบทความน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของเรา:

Line OA: https://lin.ee/2HLoHLu

Facebook: https://www.facebook.com/bygge.solutions.thailand/

Instagram: https://www.instagram.com/bygge.solutions/

TikTok: https://www.tiktok.com/@bygge.solutions

Website: https://www.byggesolutions.com/blog

ขยะอาหาร กับ โลกร้อน: ความจริงที่เราอาจมองข้าม

ขยะอาหารกับโลกร้อน: ความจริงที่เราอาจมองข้าม

หลายคนอาจสงสัยว่า ขยะอาหาร ที่เราทิ้งกันทุกวัน มันเกี่ยวอะไรกับโลกร้อน? 🌍 คำตอบคือ…มากกว่าที่เราคิดไว้มากทีเดียว

ขยะอาหาร = โลกร้อน

ขยะอาหาร = ตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ขยะอาหารส่วนใหญ่ที่ถูกทิ้งไปจะถูกนำไปฝังกลบ เมื่อย่อยสลายโดยขาดออกซิเจน ขยะเหล่านี้จะปล่อย ก๊าซมีเทน (Methane) ซึ่งกักเก็บความร้อนได้สูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า

ก๊าซมีเทนจัดว่าเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่ทรงพลังที่สุด เมื่อสะสมในชั้นบรรยากาศ ก็จะเร่งให้โลกของเราร้อนขึ้นเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ก่อให้เกิดภาวะอากาศแปรปรวน น้ำท่วม ภัยแล้ง และผลกระทบต่อระบบนิเวศทั่วโลก

อาหารแต่ละจานที่เรากินไม่หมดจึงไม่ใช่แค่เรื่อง “กินทิ้งกินขว้าง” แต่ยังเป็นเรื่องของ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้อง

เราจะช่วยได้อย่างไร?

เราทุกคนมักมองว่าการเปลี่ยนแปลงโลกเป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อน แต่ความจริงแล้ว สิ่งเล็ก ๆ รอบตัวเราก็สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงขยะอาหารและผลกระทบต่อโลกร้อน การเริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัวเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้โดยไม่ยากเย็นนัก

การใส่ใจปริมาณอาหารที่เราตักใส่จานและพยายามทานให้หมดคือหนึ่งในวิธีง่าย ๆ ที่หลายคนมองข้าม การตักพอดีและกินให้หมดไม่เพียงช่วยลดปริมาณอาหารเหลือทิ้ง แต่ยังเป็นการลดขยะตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งหมายถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากเศษอาหารที่ถูกทิ้งลงถังขยะ การคิดล่วงหน้าว่าควรตักอาหารเท่าไรให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย จะช่วยให้เราไม่เพียงแต่ประหยัดค่าอาหาร แต่ยังช่วยรักษาสมดุลของโลกในเวลาเดียวกัน

นอกจากการตักอาหารพอดีแล้ว การนำเศษอาหารไปแปรรูปให้เกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ การเปลี่ยนเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ไม่เพียงช่วยลดขยะในบ้าน แต่ยังคืนคุณค่าให้กับดิน ทำให้ดินมีสารอาหารมากขึ้นและสามารถปลูกต้นไม้หรือพืชผักที่แข็งแรงได้ การกระทำนี้อาจดูเล็กน้อย แต่เมื่อรวมหลาย ๆ ครอบครัวหรือชุมชนเข้าด้วยกัน ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ในยุคปัจจุบัน นวัตกรรมยังเข้ามาช่วยให้การจัดการเศษอาหารง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น Bygge Super Composter ที่สามารถเปลี่ยนเศษอาหารในครัวเรือนให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ไม่ต้องรอให้ขยะหมักสลายตามธรรมชาติเป็นเดือน ๆ เพียงใช้เครื่องนี้ก็สามารถสร้างวงจรการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนได้ทันที ทั้งยังช่วยให้ทุกครอบครัวเห็นคุณค่าของสิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็น “ขยะ” และเรียนรู้ว่าของเหลือเล็ก ๆ ก็สามารถสร้างประโยชน์ต่อโลกได้

เพียงแค่เริ่มจากพฤติกรรมเล็ก ๆ รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการตักอาหารพอดี การแปรรูปเศษอาหาร หรือการใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการขยะ เราก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ต่อสิ่งแวดล้อมได้ โลกของเราจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่า และทุก ๆ การกระทำที่ใส่ใจวันนี้ จะกลายเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

📌 อ่านบล็อคของ Bygge เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของเรา:

Line OA: https://lin.ee/2HLoHLu

Facebook: https://www.facebook.com/bygge.solutions.thailand/

Instagram: https://www.instagram.com/bygge.solutions/

TikTok: https://www.tiktok.com/@bygge.solutions

Website: https://www.byggesolutions.com/blog

 

SDGs และ 3 เสาหลักของความยั่งยืน

SDGs

เมื่อพูดถึง “ความยั่งยืน” หลายคนอาจนึกถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก แต่จริง ๆ แล้วความยั่งยืนเป็นแนวคิดที่ครอบคลุมและเชื่อมโยงหลายมิติ ซึ่งถูกถ่ายทอดอย่างชัดเจนผ่าน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ทั้ง 17 ข้อ ขององค์การสหประชาชาติ ที่ทั่วโลกใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อนอนาคต

เป้าหมายเหล่านี้สามารถจำแนกออกเป็น 3 เสาหลักสำคัญ คือ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม แต่เพื่อให้ครอบคลุมทุกแง่มุมอย่างแท้จริง ยังมีอีก 2 มิติที่มาช่วยเชื่อมโยงและเสริมความแข็งแกร่ง ได้แก่ สันติภาพและสถาบัน รวมถึง หุ้นส่วนการพัฒนา

🏥 มิติด้านสังคม (Society):ครอบคลุมเป้าหมายที่ 1-5 เช่น การขจัดความยากจน การลดความเหลื่อมล้ำ ความเท่าเทียมทางเพศ และการเข้าถึงการศึกษาและสุขภาพที่มีคุณภาพ เป้าหมายเหล่านี้ทำให้มนุษย์ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีและคุณภาพ

💰 มิติด้านเศรษฐกิจ (Economy): ครอบคลุมเป้าหมายที่ 7-11 เน้นการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน การเข้าถึงพลังงานสะอาด การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เมืองที่น่าอยู่ และการจ้างงานที่มีคุณค่า ทั้งหมดนี้ช่วยให้สังคมขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

🌱 มิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environment): ครอบคลุมเป้าหมายที่ 6 และ 12-15 มุ่งเน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งแต่น้ำสะอาด การใช้ทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปกป้องระบบนิเวศบนบกและในทะเล เพื่อรักษาสมดุลให้กับโลกใบนี้

🕊️ มิติด้านสันติภาพและสถาบัน (Peace): ครอบคลุมเป้าหมายที่ 16 เกี่ยวข้องกับการสร้างสังคมที่สงบสุข ลดความขัดแย้ง เสริมสร้างสถาบันที่เข้มแข็ง ยุติธรรม และโปร่งใส ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน

🤝 มิติด้านหุ้นส่วนการพัฒนา (Partnership): ครอบคลุมเป้าหมายที่ 17 เน้นการร่วมมือกันทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม หรือแม้แต่ตัวเราทุกคน เพื่อให้ทุกเป้าหมายสามารถเกิดขึ้นจริงได้

เมื่อมองภาพรวม จะเห็นว่าทุกมิติและทุกเป้าหมายต่างเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง การบรรลุเป้าหมายหนึ่งอาจส่งเสริมอีกเป้าหมายหนึ่ง และในทางกลับกัน หากขาดความสมดุลในบางด้านก็อาจกระทบต่อเป้าหมายอื่น ๆ ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ทุกการกระทำเล็ก ๆ ในวันนี้ ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโลกที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

📌 อ่านบล็อคของ Bygge เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของเรา:

Line OA: https://lin.ee/2HLoHLu

Facebook: https://www.facebook.com/bygge.solutions.thailand/

Instagram: https://www.instagram.com/bygge.solutions/

TikTok: https://www.tiktok.com/@bygge.solutions

Website: https://www.byggesolutions.com/blog